เสียงไอแค่กๆ ของลูกน้อยเป็นเหมือนเสียงระฆังเตือนภัยในใจของคุณพ่อคุณแม่ทุกคน โดยเฉพาะเวลาที่ ลูกไอเยอะ ๆ ควรทําอย่างไรดี กลายเป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวตลอดทั้งคืน การไอไม่ใช่โรค แต่มันคือสัญญาณจากร่างกายที่กำลังพยายามทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน มันคือกลไกการป้องกันตัวที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งของระบบทางเดินหายใจ ทำหน้าที่ขับไล่สิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค หรือเสมหะส่วนเกินออกไปให้พ้นทาง
แต่การจะรับมือกับการไอได้อย่างถูกต้อง เราต้องเป็นมากกว่าแค่ผู้ปกครอง เราต้องเป็น “นักสืบ” ที่สามารถไขรหัสจากเสียงไอของลูกได้ เพื่อที่จะได้ดูแลเขาอย่างถูกจุดและรู้ว่าเมื่อไหร่ที่สัญญาณเตือนภัยนี้ดังเกินกว่าจะรับมือเองไหว

เสียงไอ บอกโรค
เสียงไอแต่ละแบบมีความหมายซ่อนอยู่ การเป็นนักฟังที่ดีจะช่วยให้เราประเมินสถานการณ์เบื้องต้นได้แม่นยำขึ้น ว่าอาการที่ ลูกไอเยอะ ๆ ควรทําอย่างไรดี นั้นมีแนวโน้มมาจากสาเหตุอะไร
ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ
เสียงไอแบบนี้จะฟังดูแห้งๆ ระคายเคือง ไม่มีเสียงเสมหะครืดคราดในลำคอ มักจะไอบ่อยขึ้นในตอนกลางคืนหรือเมื่อเจออากาศเย็นๆ
สาเหตุที่เป็นไปได้ มักเกิดจากการระคายเคืองในลำคอและทางเดินหายใจส่วนบน อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการติดเชื้อไวรัส เช่น หวัดธรรมดา หรืออาจเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น ควันบุหรี่ หรือมลภาวะ PM2.5 ที่เข้าไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
ไอมีเสมหะ เสียงครืดคราด
เป็นเสียงไอที่ฟังดูหนักๆ ทุ้มๆ และรู้สึกได้ว่ามีของเหลวอยู่ในลำคอหรือหน้าอก บางครั้งอาจจะได้ยินเสียงหายใจดังร่วมด้วย
สาเหตุที่เป็นไปได้ นี่คือสัญญาณว่าร่างกายกำลังสร้างเมือกหรือเสมหะขึ้นมาเพื่อดักจับเชื้อโรคและกำลังพยายามขับมันออกมา มักพบในการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ลงไปถึงหลอดลมหรือปอด เช่น หลอดลมอักเสบ หรือปอดบวม สีของเสมหะ (เขียว, เหลือง, ขาว) ไม่สามารถใช้แยกระหว่างเชื้อไวรัสกับแบคทีเรียได้อย่างชัดเจนเหมือนที่เคยเชื่อกัน
ไอเสียงก้องเหมือนแมวน้ำเห่า
เป็นเสียงไอที่น่าตกใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆ จะฟังดูแหบและก้องทุ้มๆ เหมือนเสียงเห่าของแมวน้ำ มักจะมาพร้อมกับอาการหายใจเข้าลำบากและมีเสียงดังครู้ป (Stridor)
สาเหตุที่เป็นไปได้ นี่คืออาการคลาสสิกของ โรคครู้ป (Croup) ซึ่งเกิดจากการอักเสบและบวมของกล่องเสียงและหลอดลมส่วนบน ทำให้ช่องทางเดินหายใจตีบแคบลง มักเกิดจากเชื้อไวรัสและพบบ่อยในเด็กเล็ก
ไอเป็นชุดๆ จนหน้าดำหน้าแดง
ลักษณะคือการไอติดต่อกันรุนแรงเป็นชุดๆ แบบไม่หยุดพัก จนเด็กแทบไม่มีจังหวะให้หายใจเข้า ทำให้หน้าแดงหรืออาจจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำได้ หลังไอชุดใหญ่จบลงอาจจะมีเสียงหายใจเข้าที่ดัง “วู้ป” ตามมา
สาเหตุที่เป็นไปได้ นี่คือสัญญาณที่ต้องระวังของ โรคไอกรน (Pertussis) ซึ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงและอันตรายอย่างยิ่งโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบ
วิธีดูแลเบื้องต้นแบบมือโปร
เมื่อประเมินเสียงไอเบื้องต้นแล้ว การดูแลที่บ้านอย่างถูกวิธีสามารถช่วยบรรเทาอาการและทำให้ลูกรู้สึกสบายตัวขึ้นได้มาก และนี่คือเทคนิคที่มากกว่าแค่การจิบน้ำอุ่น
- เพิ่มความชื้นในอากาศ อากาศที่แห้งจะยิ่งทำให้ลำคอระคายเคืองและไอมากขึ้น การใช้เครื่องทำความชื้น (Humidifier) ในห้องนอนตอนกลางคืนจะช่วยให้ทางเดินหายใจของลูกชุ่มชื้นและลดอาการไอแห้งๆ ได้ดี หรือวิธีง่ายๆ คือการพาลูกเข้าไปนั่งในห้องน้ำที่เปิดน้ำร้อนให้มีไอน้ำอบอวลประมาณ 10-15 นาที ไอน้ำจะช่วยคลายเสมหะที่เหนียวข้นให้อ่อนตัวลงและขับออกมาได้ง่ายขึ้น
- น้ำผึ้ง ฮีโร่จากธรรมชาติ (สำหรับเด็ก 1 ขวบขึ้นไปเท่านั้น) มีงานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้นที่ยืนยันว่าน้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นยาแก้ไอตามธรรมชาติที่ดีเยี่ยม มันจะเข้าไปเคลือบที่ลำคอ (Demulcent effect) ลดการระคายเคือง และมีฤทธิ์ต้านจุลชีพอ่อนๆ ข้อควรระวังสูงสุดคือ ห้ามให้น้ำผึ้งกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบเด็ดขาด เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะโบทูลิซึมในทารก (Infant Botulism) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ อาการไอส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากน้ำมูกที่ไหลลงคอ (Post-nasal drip) ไปกระตุ้นให้เกิดการไอ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือสำหรับเด็กจะช่วยชะล้างน้ำมูกและสารคัดหลั่ง ทำให้จมูกโล่งและลดปริมาณน้ำมูกที่จะไหลลงคอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- จัดท่าทางตอนนอน การนอนราบจะทำให้น้ำมูกไหลลงคอง่ายขึ้นและเสมหะคั่งค้างในทางเดินหายใจ การใช้หมอนหนุนศีรษะและลำตัวส่วนบนของลูกให้สูงขึ้นเล็กน้อย จะช่วยให้การระบายของเสมหะดีขึ้นตามแรงโน้มถ่วงและช่วยลดอาการไอในตอนกลางคืนได้

สิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาดเมื่อลูกไอ
ความปรารถนาดีอาจนำไปสู่ผลเสียได้หากทำไม่ถูกวิธี นี่คือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อเจอปัญหา ลูกไอเยอะ ๆ ควรทําอย่างไรดี
- อย่าเพิ่งรีบให้ยาแก้ไอเอง ยาแก้ไอที่หาซื้อได้ทั่วไปมีหลายประเภทและไม่ใช่ทุกชนิดที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 4-6 ปี สมาคมกุมารแพทย์ในหลายประเทศไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้ไอแบบกดอาการ (Cough Suppressants) เพราะการไอคือกลไกขับเสมหะที่จำเป็น การไปกดการไออาจทำให้เสมหะยิ่งคั่งค้างและนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงขึ้นได้
- อย่าให้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ อาการไอส่วนใหญ่ในเด็กเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย การให้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นไม่เพียงแต่ไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดเชื้อดื้อยาในอนาคต ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
- หลีกเลี่ยงสารระคายเคืองทุกชนิด ทางเดินหายใจของเด็กที่กำลังอักเสบจะไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างมาก ควรทำให้บรรยากาศในบ้านสะอาดและปลอดโปร่งที่สุด หลีกเลี่ยงควันบุหรี่, ควันธูป, สเปรย์ปรับอากาศที่มีกลิ่นฉุน, หรือแม้แต่น้ำหอมที่แรงเกินไป
สัญญาณอันตรายที่ต้องไปโรงพยาบาลทันที
แม้การดูแลที่บ้านจะช่วยได้มาก แต่มีสัญญาณอันตรายบางอย่างที่บ่งชี้ว่าการติดเชื้ออาจจะรุนแรงเกินกว่าจะรับมือเองได้ หากพบอาการเหล่านี้ ต้องพาลูกไปพบแพทย์โดยด่วน
- มีปัญหาในการหายใจ สังเกตว่าลูกหายใจเร็วกว่าปกติ, หายใจมีเสียงวี้ด (Wheezing), หน้าอกบุ๋มขณะหายใจเข้า, หรือจมูกบานเวลาหายใจ
- มีไข้สูงไม่ลด โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน หรือมีไข้สูงร่วมกับอาการซึมลงอย่างเห็นได้ชัด
- ริมฝีปาก ใบหน้า หรือลิ้นเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือเขียวคล้ำ นี่คือสัญญาณของการขาดออกซิเจน
- ไอจนอาเจียนซ้ำๆ หรือไม่สามารถดื่มนมหรือทานอาหารได้
- มีอาการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง, ไม่ค่อยมีน้ำตาเวลาร้องไห้, หรือปัสสาวะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
- ในเด็กทารก มีอาการซึม, ไม่ยอมดูดนม, หรือร้องกวนไม่หยุด
เมื่อเจอปัญหา ลูกไอเยอะ ๆ ควรทําอย่างไรดี การสังเกตอาการเหล่านี้อย่างใกล้ชิดคือสิ่งสำคัญที่สุด
