เวลาพูดถึงสมุนไพรหรือผลไม้ที่ช่วยเรื่องหวัด หลายคนอาจจะนึกถึงวิตามินซีหรือฟ้าทะลายโจร แต่ในวงการคนรักสุขภาพทั่วโลก มีซูเปอร์ฟรุตตัวหนึ่งที่ถูกยกให้เป็นไอเทมลับติดบ้าน โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย นั่นก็คือ “เอลเดอร์เบอร์รี่” ผลไม้ลูกจิ๋วสีม่วงเข้มที่ดูเผินๆ อาจจะไม่มีอะไร แต่ถ้าได้รู้ถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ข้างในแล้วจะทึ่ง บอกเลยว่า ประโยชน์ของเอลเดอร์เบอร์รี่ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การบรรเทาอาการไอหรือเจ็บคอ แต่มันคือขุมทรัพย์ของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ทำงานลึกซึ้งในระดับเซลล์ วันนี้เราจะมาแง้มดูโลกของมันกันแบบเจาะลึก ว่าทำไมมันถึงกลายเป็นดาวเด่นในวงการอาหารเสริม

ขุมทรัพย์สารพัดพฤกษเคมี
ความเจ๋งของเอลเดอร์เบอร์รี่ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่มันอัดแน่นไปด้วยสารประกอบจากพืช หรือ Phytonutrients ที่เป็นเหมือนกองทัพจิ๋วคอยปกป้องร่างกายเรา ซึ่งตัวเด่นๆ ที่ทำให้ ประโยชน์ของเอลเดอร์เบอร์รี่ มีความพิเศษนั้นมาจากสารกลุ่มนี้เป็นหลัก
- แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) นี่คือพระเอกตัวจริง เป็นสารให้สีม่วง-ดำในพืช ตระกูลเดียวกับที่เจอในบลูเบอร์รี่หรืออัญชัน แต่ในเอลเดอร์เบอร์รี่สายพันธุ์ Sambucus nigra นั้นมีความเข้มข้นของแอนโทไซยานินสูงมาก โดยเฉพาะสารที่ชื่อว่า Cyanidin-3-glucoside และ Cyanidin-3-sambubioside ซึ่งไม่ได้มีดีแค่ให้สีสวยๆ แต่มันคือสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง และเป็นตัวหลักในการออกฤทธิ์ต้านไวรัส
- ฟลาโวนอล (Flavonols) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกกลุ่มที่ทำงานเสริมทัพกับแอนโทไซยานิน ตัวที่เด่นๆ ในเอลเดอร์เบอร์รี่คือ เควอซิทิน (Quercetin) และ รูทิน (Rutin) ซึ่งมีงานวิจัยมากมายที่ชี้ว่าสารสองตัวนี้มีคุณสมบัติต้านการอักเสบได้ดี
- วิตามินและแร่ธาตุ เอลเดอร์เบอร์รี่เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซีและใยอาหาร ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นที่รู้กันดีว่ามีส่วนสำคัญต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและระบบย่อยอาหาร
กลไกการทำงานที่ไวรัสต้องร้องไห้
หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่า ประโยชน์ของเอลเดอร์เบอร์รี่ คือช่วยให้หายจากไข้หวัดใหญ่ได้เร็วขึ้น แต่น้อยคนที่จะรู้ว่ามันทำงานอย่างไรในระดับโมเลกุล ซึ่งกลไกของมันน่าทึ่งกว่าที่คิด
ด่านแรก บล็อกไม่ให้ไวรัสเข้าเซลล์
ลองนึกภาพไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นลูกกุญแจที่มีหนามแหลมๆ ยื่นออกมา หนามที่ว่านี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ฮีแมกกลูตินิน (Hemagglutinin) ซึ่งไวรัสจะใช้หนามนี้เจาะเข้าไปในเซลล์ร่างกายของเราเหมือนกุญแจที่ไขเข้าไปในประตู จากนั้นมันก็จะเข้าไปยึดครองและใช้ทรัพยากรในเซลล์ของเราเพื่อแบ่งตัวเพิ่มจำนวน
ความเจ๋งของสารประกอบในเอลเดอร์เบอร์รี่ โดยเฉพาะแอนโทไซยานิน คือมันสามารถเข้าไปจับกับหนามฮีแมกกลูตินินของไวรัสได้โดยตรง มันเข้าไปบล็อก “ลูกกุญแจ” ทำให้ไวรัสไม่สามารถไขเข้าไปใน “ประตู” หรือเซลล์ของเราได้ตั้งแต่แรก เท่ากับเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ลดจำนวนไวรัสที่จะเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีนัยสำคัญ
ด่านสอง ขัดขวางไม่ให้ไวรัสแพร่พันธุ์
สมมติว่ามีไวรัสบางตัวหลุดรอดด่านแรกเข้าไปในเซลล์ได้แล้ว เมื่อมันแบ่งตัวเสร็จ ก็ต้องหาทางออกจากเซลล์เดิมเพื่อไปบุกรุกเซลล์ข้างๆ ต่อไป กระบวนการนี้ต้องอาศัยเอนไซม์อีกตัวที่ชื่อว่า นิวรามินิเดส (Neuraminidase) ทำหน้าที่เหมือนกรรไกรตัดสายสะดือ ปลดปล่อยไวรัสตัวใหม่ออกมา
มีงานวิจัยที่พบว่าสารสกัดจากเอลเดอร์เบอร์รี่สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์นิวรามินิเดสได้ ทำให้ไวรัสตัวใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่สามารถออกจากเซลล์ที่ติดเชื้อได้ มันจึงถูกขังอยู่ในนั้นและไม่สามารถแพร่กระจายไปทำลายเซลล์อื่นๆ ต่อได้ นี่เป็นกลไกเดียวกับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่บางชนิดเลยทีเดียว
ด่านสาม ปรับจูนการสื่อสารของภูมิคุ้มกัน
เมื่อร่างกายติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันจะหลั่งสารสื่อสารที่เรียกว่า ไซโตไคน์ (Cytokines) ออกมาเพื่อเรียกเซลล์เม็ดเลือดขาวต่างๆ ให้มาจัดการกับผู้บุกรุก แต่ในบางครั้ง โดยเฉพาะในการติดเชื้อรุนแรง ร่างกายอาจจะหลั่งไซโตไคน์ออกมามากเกินไปจนเกิด “พายุไซโตไคน์” (Cytokine Storm) ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงทั่วร่างกายและเป็นอันตรายถึงชีวิต
ประโยชน์ของเอลเดอร์เบอร์รี่ ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ มันไม่ได้แค่กระตุ้นภูมิคุ้มกันอย่างเดียว แต่ยังทำหน้าที่เป็น “ผู้ปรับสมดุล” (Immunomodulator) มีการศึกษาที่พบว่าสารในเอลเดอร์เบอร์รี่ช่วยเพิ่มการผลิตไซโตไคน์บางชนิดในระดับที่เหมาะสมเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยควบคุมไม่ให้การตอบสนองนั้นรุนแรงจนเกินไป
พลังต้านอนุมูลอิสระและสุขภาพผิว
นอกเหนือจากเรื่องไวรัสแล้ว ประโยชน์ของเอลเดอร์เบอร์รี่ ยังครอบคลุมไปถึงเรื่องสุขภาพโดยรวมและผิวพรรณด้วยพลังของสารต้านอนุมูลอิสระที่อัดแน่นอยู่เต็มผล
อนุมูลอิสระคือโมเลกุลวายร้ายที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลาจากกระบวนการเผาผลาญและปัจจัยภายนอกอย่างมลภาวะหรือรังสียูวี มันจะคอยทำลายเซลล์ต่างๆ ทำให้เกิดความเสื่อม ความแก่ และโรคภัยไข้เจ็บ สารต้านอนุมูลอิสระในเอลเดอร์เบอร์รี่ โดยเฉพาะแอนโทไซยานิน จะเข้าไปต่อสู้กับอนุมูลอิสระเหล่านี้โดยตรง ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย ซึ่งส่งผลดีต่อผิวพรรณโดยช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย และยังอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบและความเสื่อมของเซลล์ได้อีกด้วย
เอลเดอร์เบอร์รี่ เหมาะกับใครบ้าง
ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นในเรื่องการสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน เอลเดอร์เบอร์รี่จึงกลายเป็นไอเทมลับสำหรับหลายๆ ครอบครัว โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กๆ ซึ่งมักจะเจอกับสถานการณ์เหล่านี้
- สำหรับคุณแม่ที่กำลังรับมือกับ “ลูกไม่สบาย” ช่วงเวลาที่ได้ยินเสียงลูกเริ่มไอแค่กๆ หรือเห็นน้ำมูกใสๆ เริ่มไหล คือ “นาทีทอง” ในการดูแลเชิงรุก มีงานวิจัยที่ชี้ว่าการให้สารสกัดเอลเดอร์เบอร์รี่ภายใน 24-48 ชั่วโมงแรกที่เริ่มมีอาการ อาจช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการป่วยโดยรวมได้ ทำให้ช่วงเวลาที่ ลูกไม่สบาย ไม่ยืดเยื้อจนเกินไป
- เมื่อเจอปัญหา “เด็กไอ” และ “จาม” ไม่หยุด อาการไอและจามคือกลไกที่ร่างกายพยายามขับไล่เชื้อโรคออกไป แต่เมื่อ เด็กไอ หรือ จาม ติดต่อกันบ่อยๆ ก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองในทางเดินหายใจมากขึ้น สารฟลาโวนอลในเอลเดอร์เบอร์รี่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาการระคายเคืองเหล่านี้ได้ ควบคู่ไปกับฤทธิ์ต้านไวรัสที่ช่วยจัดการต้นตอของปัญหา
- สำหรับบ้านที่มี “เด็กป่วย” บ่อยจนน่าเป็นห่วง เด็กบางคนอาจจะไวต่อเชื้อโรคมากกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน ทำให้ป่วยง่ายและป่วยบ่อยเมื่อต้องไปโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก การใช้ ประโยชน์ของเอลเดอร์เบอร์รี่ ในการดูแลเชิงป้องกัน โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงหรือช่วงที่มีโรคระบาด อาจช่วยปรับสมดุลและเสริมความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กได้ในระยะยาว เพื่อลดความถี่ในการป่วย
- ครอบครัวนักเดินทาง หรือต้องเจอคนเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยว, การไปโรงเรียน, หรือแม้แต่ผู้ปกครองที่ต้องไปทำงานในออฟฟิศ ทุกคนในครอบครัวล้วนมีความเสี่ยงที่จะนำเชื้อโรคกลับมาบ้าน การเสริมภูมิคุ้มกันด้วยเอลเดอร์เบอร์รี่จึงเป็นเหมือนการสร้างเกราะป้องกันให้กับทุกคนในครอบครัว

ข้อควรระวังที่ต้องรู้ก่อนทาน
แม้ ประโยชน์ของเอลเดอร์เบอร์รี่ จะมีมากมาย แต่ก็มีด้านที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวดเช่นกัน โดยเฉพาะการนำผลดิบมาบริโภคโดยตรง
ห้ามกินผลดิบเด็ดขาด ในผล, ใบ, และกิ่งก้านของต้นเอลเดอร์เบอร์รี่ที่ยังไม่ผ่านการปรุงสุก จะมีสารประกอบที่เรียกว่า ไกลโคไซด์ที่สร้างไซยาไนด์ (Cyanogenic Glycosides) ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสามารถเปลี่ยนเป็นสารพิษไซยาไนด์ได้ การกินผลดิบเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือในปริมาณมากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ความร้อนจากการปรุงสุกจะทำลายสารพิษเหล่านี้จนหมดไป ดังนั้นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเอลเดอร์เบอร์รี่ที่มีขายในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไซรัป, กัมมี่, หรือแคปซูล ล้วนผ่านกระบวนการที่ปลอดภัยแล้ว สามารถบริโภคได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้
กลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
- สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลการวิจัยที่เพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยในกลุ่มนี้ จึงควรหลีกเลี่ยงเพื่อความปลอดภัย
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคลูปัส (SLE) หรือโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (MS) เนื่องจากเอลเดอร์เบอร์รี่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน จึงอาจทำให้อาการของโรคกำเริบได้
เลือกผลิตภัณฑ์เอลเดอร์เบอร์รี่ยังไงให้ได้ผลดี
ในตลาดมีผลิตภัณฑ์เอลเดอร์เบอร์รี่ให้เลือกมากมาย การจะได้รับ ประโยชน์ของเอลเดอร์เบอร์รี่ อย่างเต็มที่ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
มองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็น “สารสกัดมาตรฐาน” (Standardized Extract) ซึ่งหมายความว่าผู้ผลิตมีการควบคุมและรับประกันปริมาณของสารออกฤทธิ์ที่สำคัญ เช่น แอนโทไซยานิน ในทุกๆ ล็อตการผลิต ทำให้มั่นใจได้ว่าเราจะได้รับสารสำคัญในปริมาณที่สม่ำเสมอทุกครั้งที่บริโภค และควรอ่านฉลากเพื่อดูส่วนประกอบอื่นๆ ด้วย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้น้ำตาลน้อยหรือไม่ใช้เลย และควรทำมาจากสายพันธุ์ Sambucus nigra ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีการศึกษาวิจัยรองรับมากที่สุด
